เป็นเอก รัตนเรือง ผู้กำกับและนักเขียนบทภาพยนตร์ เจ้าของสไตล์ "เป็นเอก" ที่ไปโผล่ทั้งในหนัง กระทั่งเสื้อยืด เป็นอีกคนที่เป็นเจ้าของ จักรยานราเล่ห์ (RALIEGH) เจ้าตำนานจักรยานคลาสสิคสัญชาติอังกฤษ แต่ก็เป็นเจ้าของสองล้อไร้ควันคันอื่นๆ อีก
"บ้านผมเป็นซอย จากสุขุมวิททะลุไปเพชรบุรีได้ คนใช้รถเยอะมาก อย่างผมทำงานที่บ้าน เขียนบทหนัง บ่ายๆ เริ่มหิวข้าวแล้ว นึกอยากกินก๋วยเตี๋ยวปากซอย จะขับรถออกไป ถนนก็แน่น ไหนจะวันเวย์อีก ที่จอดรถก็ไม่มี จะออกไปกินก๋วยเตี๋ยว 2 ชามใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง"
งานที่ต้องใช้แกนสมองทำงานอย่างนี้ การเว้นช่วงไปค่อนชั่วโมง เป็นเอกบอกว่าไม่เวิร์ค เลยซื้อจักรยานมาขี่
"แค่ 20 นาทีก็กลับมานั่งทำงานต่อได้เลย ตั้งแต่นั้นมาเลยใช้จักรยานมาตลอด" ผลพลอยได้จากการกลับมาขี่จักรยาน หลังร้างลาไปนาน นอกจากจะได้ย้อนไปหาวันวานในวัยเด็กแล้ว ผู้กำกับวัย 47 ยังได้ค้นพบร้านรวงเล็กๆ ที่รถเข้าไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว
"อย่างร้านน้ำเก่าๆ ที่มีศักดิ์ศรี ไม่ยอมเปลี่ยนร้านตามที่เจ้าของน้ำอัดลมเสนอให้ ของเหล่านี้มันมีผลกับตัวเรานะ ถ้าเราไม่ได้ขี่จักรยาน เราก็ไม่ได้เจอ"
ใครใคร่ปั่น ปั่น
วิถีจักรยานของผู้กำกับเสื้อลายขวาง ไม่ได้เกาะล้อใครมา แต่บังเอิญว่า "กระแสสองล้อ" มันกำลังมาจริงๆ และมากันแบบเป็นขบวนด้วย
ใครชอบแบบไหนก็ขี่แบบนั้น ถ้าลองไปนับกันดีๆ รถจักรยานที่เห็นขี่ๆ กันอยู่ หลากหลายยิ่งว่ารถเครื่องบนถนนเสียอีก
ถ้าแบ่งตามการใช้งาน จะมี Road Bicycle หรือเสือหมอบ ที่ถูกออกแบบมาให้ขับขี่บนท้องถนน แบ่งเป็น Touring Bicycle จักรยานปั่นท่องเที่ยวระยะทางไกล สะดวกสบายทนทาน ถูกออกแบบมาให้ผู้ขี่ไม่ต้องโค้งตัวงอเข่ามาก สามารถขี่ได้นาน , Hybrid Bicycle ลูกผสมระหว่างเสือภูเขาและจักรยานท่องเที่ยว ขี่ในเมืองหรือปั่นเที่ยวก็ได้ , Mountain Bicycle จักรยานเสือภูเขา สำหรับเส้นทางสมบุกสมบันหรือพื้นถนนออฟโรด , Racing Bicycle จักรยานสำหรับแข่งขันโดยเฉพาะ และ BMX คันเล็ก ล้อเล็ก สำหรับคนชอบผาดโผน และ กีฬาเอ็กซ์ตรีม
บางคนอาจถามว่า แล้วจักรยานพับไปไหน ใครๆ ก็กำลังเห่อ เพราะสะดวกพกพาไปไหนมาไหน เหมาะแก่การปั่นเพื่อพักผ่อนและออกกำลังกาย
จักรยานพับหรือ Folding Bicycle นั้นคือหนึ่งในจักรยานที่แบ่งตามโครงสร้างและดีไซน์ข องเฟรม อยู่ในหมวดเดียวกับจักรยานไม้ไผ่และจักรยานจากไม้เนื ้อแข็ง
สุดท้าย แบ่งตามสไตล์และความชอบ นำโด่งมาโดย Vintage Bicycle จักรยานโบราณที่กลับมาทันสมัยอีกรอบ พร้อมราคาที่ทำเอากระเป๋าฟีบ , Luxury Bicycle จักรยานจากแบรนด์หรูและค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ นอกจากนี้ยังมี Art Bicycle จักรยานแฟนซี และ Clown Bicycle จักรยานในละครสัตว์
แต่ที่ไม่เข้าพวกกับใคร แต่ในเมืองไทยและทั่วโลกจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเสีย เหลือเกินคือ Fixed Gear จักรยานเกียร์เดียว ล้อหลังไม่ฟรี ที่เจาะกลุ่มเด็กมหาลัย หรือ คนทำงานรุ่นใหม่ได้หนึบหนับ
และกลุ่มสุดท้าย คือ จักรยานธรรมดาๆ สำหรับแม่บ้านไปจ่ายตลาด กระทั่งคนทำงานหาเช้ากินค่ำรายอื่นๆ ที่ปั่นไป-กลับทำงานทุกวัน
จักรยานคน 'ไม่' จน
เป็นเรื่องดีที่คนหันกลับมานิยมสองล้อไร้ควัน โดยไม่จำเป็นต้องโหนกระแส Car Free Day ที่เวียนมาทุกๆ วันที่ 22 กันยายน และคนบนอานเองก็ดูจะไม่สนด้วยว่า จะต้องขี่แบบมีวาระพิเศษ
จิรุตถ์ ลาชโรจน์ นักกฎหมายวัยสี่สิบต้นๆ เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลการขี่จักรยานเสือหมอบหรือ Road Bike เป็นชีวิตจิตใจ อดีตนักกีฬารักบี้ในรั้วเหลืองแดงคนนี้ เห็นว่า นอกจากการว่ายน้ำแล้ว การขี่จักรยานเสือหมอบน่าจะเป็นหนึ่งในกีฬาที่ดีต่อส ุขภาพของคนวัยกลางคน
เสือหมอบนี่หลายคนเข้าใจผิด จริงๆ ขี่ได้นานหลายๆชั่วโมงนะ เพราะโดยการออกแบบ การทำมุมองศาเอนตัวลง เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังได้ออกแรง จะต้องมีการวัดตัวก่อน ให้พอดีกับร่างกายของผู้ขี่ ขี่กันที 3-4 ชั่วโมง
กับความหลากหลายของจักรยานทุกวันนี้ จิรุตถ์ยังไม่เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างผู้นิยมจักรย านในแต่ละกลุ่ม
ไม่มีปัญหา เพราะคนขี่จักรยานจะมีระเบียบ อย่างพวกฟิกซ์เกียร์ จะขี่กันในเมือง ส่วนเสือภูเขาไปตามเส้นทางธรรมชาติ แต่อย่างเสือหมอบนี่ต้องขี่บนถนน เราถึงต้องขี่กันบนไฮเวย์ เพราะบ้านเราไม่มีใครสนใจทำไบค์เลน และเพราะลักษณะของหน้ายางของเสือหมอบเล็กกว่า-บางกว่า ไม่สามารถไปขี่ในพื้นถนนที่กันดารได้
เขามีก๊วนขี่จักรยานโร้ดไบค์ไปตามที่ต่างๆ กินระยะทางตั้งแต่ไม่กี่สิบกิโลเมตรจนถึงหลักร้อยกิโ ลเมตร
ความสุขของผมอยู่กับการได้ทำความเร็ว ลมปะทะหน้า มองเห็นวิวทิวทัศน์ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะหัวใจ"
กับชาวสองล้อกินลมด้วยกันไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าติดเครื่องเมื่อไหร่ จักรยานหรูหราไก่กาแค่ไหนก็กลายเป็น "ตาสีตาสา" ได้ในพริบตา
การขี่จักรยาน ทำให้เราเจียมตัว เราเป็นหน่วยเล็กๆ บนถนน เล็กกว่ามอเตอร์ไซค์ เล็กกว่ารถกระบะ หรือสิบล้อ พร้อมจะเกิดอันตรายตลอดเวลา หากเขาตั้งใจแกล้ง แล้วเวลาล้ม ล้มติดๆ กันเหมือนโดมิโน บนอานจักรยาน เราเป็นตาสีตาสา ที่มีคนอื่นๆ พร้อมจะเบียดคุณ เมื่อการขี่จักรยานเป็นเช่นนี้ มันสอนให้เราเรียนรู้ถึงคุณค่าของการเป็นคนตัวเล็กตั วน้อย เมื่อเรากลับมาใช้รถ เราก็จะเห็นถึงเรื่องนี้ เราจะไม่ทำแบบนี้กับคนอื่น
ด้านบรรณาธิการบริหารนิตยสารจีเอ็ม โตมร ศุขปรีชา ที่ขายรถยนต์ทิ้ง แล้วหันมาใช้จักรยานเป็นครั้งคราว กลับมีมุมมองต่อ "จักรยานกับเมือง" อย่างผิวเผิน ถึงขั้นไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ
เขายกตัวอย่างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ที่รองรับจักรยาน ที่พูดคุยกันมาหลายปี หรือพ่อเมืองลงทุนขี่จักรยานรอบกรุงจนแทบจะเป็นธรรมเ นียมปฏิบัติ
"เราพบว่าทุกวันนี้บาทวิถีมีการรื้อสร้างใหม่อยู่ตลอ ด ทั้งๆ บางบาทวิถีก็ยังสภาพดีอยู่ นั่นแสดงให้เห็นว่า เมืองมีงบประมาณอยู่ แต่ไม่ทำ"
เหตุผลก็เพราะ...
"ภาพสะท้อนของจักรยานถูกมองว่าเป็นพาหนะอีกชนชั้นหนึ ่งที่ต่ำกว่ารถยนต์ คนเลยไม่ค่อยให้การสนับสนุนเท่าไหร่ การรวมกลุ่มของจักรยานที่เราเห็นตามท้องถนน จักรยานราคาแพงก็จะถูกมองแบบหนึ่ง ขณะที่จักรยานแม่บ้านธรรมดาๆ ก็จะถูกมองอีกแบบหนึ่ง แง่หนึ่ง จะมีกลุ่มที่ขี่จักรยานเพราะความเก๋อยู่ แต่หากเรามองโครงสร้างใหญ่มันถือเป็นการต่อสู้ เป็นความพยายามต่อสู้เชิงความหมายของคนขี่เอง หรือแสดงอัตลักษณ์ในบางครั้ง"
โตมรเล่าถึงลักษณะเฉพาะอีกอย่างของจักรยานก็คือ ความเป็นปัจเจก ในยุโรปผู้คนมักนิยมขี่จักรยานไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ขณะที่ไทยเป็นสังคมรวมกลุ่ม ซึ่งรถยนต์ดูจะเป็นพาหนะที่ค่อนข้างเหมาะสม เมื่อเชื่อมโยงมาถึงจักรยานเวลา "ปั่นรวมกลุ่ม" ก็จะเกิดความ "อุ่นใจ(ปลอดภัย)" มากกว่า "ปั่นเดี่ยว"
ส่วนเรื่องของการปันส่วนของจักรยานบนทางปั่น ซึ่งมีหลากหลายประเภท จะเกิดปัญหาตามหรือไม่นั้น เขายืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับคนขี่จักรยานเลย
"ทุกวันนี้จักรยานไม่เยอะมาก ขอให้มีเลนกับคนขี่ ให้มีปัญหาก่อนดีกว่าแล้วค่อยคิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่ากังวลว่าจะเกิดปัญหาเพราะถ้า คนขี่จักรยานในชีวิตประจำวันจริงๆ จะเรียนรู้กฎ-กติกาในการขี่เองโดยปริยาย"
ความกังวลดังกล่าว เขามองว่าน่าจะเกิดกับพื้นที่ที่เป็นสวนสาธารณะ แต่ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะวันนี้ไม่มีที่ทางสำหรับจ ักรยานมากพอ
"ควรจะมีสวนสาธารณะมากขึ้นไหม" เขาตั้งคำถาม
สิ่งเหล่านี้ สะท้อนไปถึงเรื่องของสาธารณูปโภค หรือการให้ความสำคัญกับจักรยาน เพื่อให้ผู้คนสามารถ "ขี่" ในชีวิตประจำวันได้ แน่นอน อาจมีบางคำถามที่ว่า หรือควรจะหันกลับมารณรงค์ให้ปริมาณคนใช้จักรยานเพิ่ม ขึ้นก่อนสิ่งเหล่านี้ก็จะตามมาเอง
"สาธารณูปโภคกับคนก็เหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนน่ะค รับ แต่ผมคิดว่าควรจะเกิดสาธารณูปโภคก่อน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานอย่างเลนจักรยาน วันนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัยอย่างจริงจังว่าเลนแบบไหนจะ เหมาะกับเมืองไทย ต้องมีที่เก็บจักรยานหรือเปล่า บางคนอาจจะบอกว่าขี่จักรยานเมืองไทยลำบาก เพราะอากาศร้อน แต่ที่สิงคโปร์ คนก็นิยมใช้จักรยานกัน เพราะเขาปลูกต้นไม้ทั่วเมือง นั่นหมายถึงการมองผ่านไปยังการขยับโครงข่ายการเดินทา งทั้งเมืองก็ได้ ต้องมานั่งคิดทั้งระบบ"
สิทธิต้องมาก่อนเลน
รศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขี่จักรยานบ้างเป็นครั้งคราว จักรยานที่ใช้ก็ธรรมดา เพราะใช้ขี่ระยะสั้น ไกลที่สุดแค่ตลาด รัศมีไม่เกินซอยบ้าน สลับกับลูกๆ ที่ขับไปหาก๊วนในซอยเดียวกัน
นึกอยากขี่ไปทำงานไหม อาจารย์ส่ายหน้าเพราะแค่คิดถึงอุปสรรคอันตรายต่างๆ กว่าจะฝ่าฟันไปถึงก็ถอดใจแล้ว เช่นนั้น คนขี่จักรยานไปทำงาน ไม่ว่าใกล้หรือไกลจึงน่านับถืออย่างมาก
"เขามีอุดมการณ์อย่างแรงกล้า ท่ามกลางเงื่อนไขต่างๆ ที่ไม่เอื้อเลย"
สำคัญกว่าเงื่อนไขต่างๆ อาจารย์บอกว่าคือ "สิทธิ" ของพลพรรคจักรยานที่มีในทางกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติกลับเท่ากับศูนย์
"สิทธิมีแต่ไม่ได้สิทธิ เพราะคนขี่รถไม่เคยเอื้อเฟื้อ อย่างบัสเลน ก็กลายเป็นเลนของทุกคัน ขนาดทางม้าลาย ทาสีไว้ให้เห็นชัดเจน คนยังโดนชนเลย ดังนั้นผมจึงไม่เชื่อว่าถ้ามีไบค์เลนแล้ว จักรยานจะได้ใช้"
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คนข้ามทางม้าลายยังมีสิทธิมากกว่าคนขี่จักรยานด้วยซ้ ำ
"คนข้ามถนนมันจุดเดียว เวลามีเรื่องหรือโดนชนโวยวายได้ทันที แต่จักรยานมันวิ่งไปเรื่อยๆ คู่ไปกับพาหนะอื่นๆ บนเส้นทาง ถามว่าถ้าอย่างนั้น จักรยานไม่ต้องโวยวายไปตลอดทางหรือ ก็ทำไม่ได้"
แล้วสิทธิที่แท้จริงของคนขี่จักรยานจะมีได้อย่างไร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คนไทยกำลังดีใจกับนโยบาย "รถคันแรก" ที่รัฐบาลทุ่มไม่อั้น
"มันเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้ สิทธิจะมายกให้กันไม่ได้ แต่ถามว่าต่อสู้ทางไหน ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะต้องรวมตัวกันให้มากกว่านี้ หรือ คนที่ขี่จริงๆ อาจจะต้องบอกผ่านสื่อว่าตัวเองได้รับความเดือดร้อนจา กรถใหญ่อย่างไรบ้าง"
สู้ต่อไป...ไบซิเคิล
.................................................. .....
อะไรๆ ก็โทษผังเมือง
ในวงเสวนา "การผลักดันการเดินและการใช้จักรยานสู่นโยบายสาธารณะ ของประเทศไทย" เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทัศนะแตกต่างและน่าสนใจจากฝ่ายผังเมือง
ผศ.ดร.พนิต ภู่จินดา ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกผู้หนึ่งที่ใช้จักรยานในการเดินทางไปทำงานเสมอเล่ าว่าในนักผังเมืองมักจะได้รับคำติเตียนเสมอ ตนเองจึงอยากจะถามย้อนกลับไปว่ามีใครทำตามผังเมืองหร ือไม่
ร่างผังเมืองกรุงเทพฯจะตัดถนนเพิ่มอีก 170 กว่าสายเสียงคัดค้านมาทันที แต่มหานครอื่น ๆ ของโลกมีพื้นที่ถนนไม่น้อยกว่า 20เปอร์เซ็นต์ เช่น มีร้อยละ 38 โตเกียวมีร้อยละ 23 เทียบกับพื้นที่ทั้งหมด กรุงเทพฯ มีร้อยละ 8 เท่านั้น
"ถ้าดูข้อมูลกรุงเทพตั้งแต่ปี 2545 ผู้ใช้บริการรถเมล์ลดลงจาก 4 ล้าน เหลือประมาณ 1 ล้าน จำนวนนั้น BTS ดึงไปราว 6 แสน MRT ประมาณ 2 แสน BRT ประมาณ 2-3 พัน ที่เหลือนั่งรถตู้บริการด่วนพิเศษ นั่นหมายความว่าคนในเมืองเดินทางไกล ไม่ได้เดินทางระยะใกล้ จากชานเมืองเข้าสู่เมืองเพราะฉะนั้นคนกลุ่มนี้ขี่จัก รยานไม่ได้อยู่แล้วเพราะไกลเกินไป"
ดอกเตอร์จากรั้วจามจุรี เผยอีกว่า หลักของการวางแผนพัฒนาเมือง ณ วันนี้ การเดินเท้าและการขี่จักรยานถูกมองว่าเป็นการออกกำลั งกาย เราไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน ซึ่งพฤติกรรมต่างกัน อย่างแรกเรื่องช่วงเวลาและเส้นทางคนที่ขี่จักรยานในช ีวิตประจำวันจริง ๆ ต้องการเพียงทางที่ไปร่วมกับคนเดินเท้าได้ เพราะพื้นที่ถนนมีน้อยอยู่แล้วหากจะไปแบ่งคงไม่ใช่เร ื่องที่ควร
"เราต้องการทางจักรยานเฉพาะหรือไม่ ช่องทางสำหรับยานพาหนะที่ไม่มีเครื่องยนต์ทั้งหมดและ คนเดินน่าจะเหมาะสมกว่า"
อาจารย์มองว่า ทุกวันนี้ที่คนใช้จักรยานเพื่อออกกำลังกายในชั้นในขอ งเมืองนั้น ผิดลักษณะการใช้สอย เพราะว่าชั้นในของเมืองรถแน่น มีควันพิษ ทุกคนต่างต้องการการเดินทางที่รวดเร็ว
"หมวกกันน็อคผมแตกไป 2 ใบ ขี่จักรยานบนทางเท้าแล้วหัวกระแทกกับป้ายของร้านซึ่ง ขี่บนทางเท้าไม่ได้สูงกว่าคนเดินมากเท่าไหร่ แต่หัวกระแทกป้ายชื่อร้านที่อยู่ต่ำลงมา แถมยังมีหาบแร่แผงลอย ผมมองว่าเรามีพื้นที่สาธารณะสำหรับเคลื่อนที่น้อยอยู ่แล้ว แล้วยังเสียพื้นที่ไปกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวข องพ่อค้าหรือเจ้าของพื้นที่ ถ้าบริหารจัดการตรงนี้ได้จะทำให้การเดินทางโดยไม่ใช้ เครื่องยนต์ลื่นไหลได้ดีขึ้น
ปัญหาที่สำคัญของกรุงเทพคือเราไม่รู้ว่าจะให้กรุงเทพ เป็นเมืองอะไร เน้นด้านไหน เพราะการออกแบบที่รองรับต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และพฤติกรรมของคนไทยไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ การนำเอาระบบของเมืองนอกมาใช้อาจไม่ได้ผล"
................................................
(หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนจากนิทรรศการ "ปั่นแล้วไปไหน?" จัดแสดงที่ห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ชั้น 6 ดิ เอ็มโพเรียม ตั้งแต่ 6 กันยายน - 6 พฤศจิกายน 2554)
div>
Bookmarks