แวะไปหาช่างหน่อย ไม่เจอกันนาน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SpecialGS : 20-02-2011 เมื่อ 22:19
Besotted Scooter Club
เงียบ เงียบ นิ่ง นิ่ง
Lambretta series III Special Silver 150 cc.Vespa Gran Sport Mark II 160 cc.
จงใช้ชีวิต อย่างมีเหตุและมีผล ลำดับความสำคัญมันให้ถูก ชีวิตจะมีความสุข
ถ้าเหนื่อยนัก ก็พักซักหน่อยดีกว่า
Besotted Scooter Club
เงียบ เงียบ นิ่ง นิ่ง
Lambretta series III Special Silver 150 cc.Vespa Gran Sport Mark II 160 cc.
จงใช้ชีวิต อย่างมีเหตุและมีผล ลำดับความสำคัญมันให้ถูก ชีวิตจะมีความสุข
ถ้าเหนื่อยนัก ก็พักซักหน่อยดีกว่า
Vespa GS 160 เป็นตัวแทนของการตอกย้ำอันเป็นที่สุดในการออกแบบที่เ วสป้าเคยผลิต และ รถตระกูล GS นี้ยังแสดงให้เห็นถึงการวิจัยและพัฒนา รถ Vespa ในรอบสิบปี และยังเป็นรากฐานสำคัญในการออกแบบและพัฒนา scooter ของVespaในช่วงเวลา 30 ปีต่อมาอีกด้วย
GS 150 ต้นตระกูลแห่ง VS
Piaggio ได้แนะนำให้โลกรู้จัก Vespa ตระกูล GS หรือ "Gran Sport" ในช่วงปลายปี 1955 โดยใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ไดรับจากการแข่งขัน The Vespa Sei Giorni (Vespa six day) เป็นเวลา 3 ปี GS 150 คือการรวมกันที่เหมาะสมระหว่างการออกแบบอันลงตัว และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ของ Piaggio โดยมันถูกเรียกว่า”เจ้าตัวต่อยักษ์”(Big Wasp หรือ Vespone ในภาษาอิตาเลี่ยน). ซึ่งสามารถทำด้วยความเร็วสูงสุดถึง 96.5 กม.ต่อชั่วโมงซึ่งเป็นความเร็วที่สูงในช่วงเวลานั้นแ ละยังคงเป็นความเร็วมาตรฐานของรถ scooter ในช่วงเวลาปัจจุบันอีกด้วย GS 150 ถูกผลิตเข้าสู่ตลาดโลก เป็นจำนวน 5 รุ่น (VS1 ถึง VS5) ในช่วงปี 1955-1961 ซึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็น160 ในเวลาต่อมา เนื่องจาก Lambretta ได้ส่ง TV175 เข้าสู่ตลาดนั้นเอง
Vespa GS 160
ในปี 1962 Piaggio ได้เปิดตัว Vespa GS 160 เข้าสู่ตลาดในเดือนพฤษภาคม ซึ่งได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปมากมาย, ไม่ว่าจะเป็นตังถังที่ใหญ่ขึ้น เครื่องยนต์กำลังสูง, ระบบท่อไอเสีย(บ้านเราเรียกว่าท่อถั่ว) และช่วงล่างที่ทันสมัย(ซึ่งเป็นต้นแบบของ PX ที่ใช้มาถึงปัจจุบัน) เครื่องยนต์ของ GS160 ยังคงใช้ระบบ piston valve ร่วมกับลูกสูบและข้อเหวี่ยงที่มีความแข็งแรงสูง (แต่ไม่ทนทานเท่าที่ควร ความคิดของผู้เขียน ) และ ทาง Piaggio ยังรวม ตัวสวิงอาร์ม(swing arm)เข้าไปกับ แครง(crankcase) คือถ้าทำให้เหลือ ชิ้นส่วนแค่ 2 ชิ้นจากเมื่อก่อนจะมี 3 ชิ้น แต่ถ้าเปรียบเทียบอัตราเร่ง GS160 จะมีอัตราเร่งต่ำกว่า GS150 อยู่นิดหน่อยแต่จะมีความเร็วสูงกว่ารวมถึงการขับที่เ ชื่อถือได้ว่านุ่มนวลกว่าและทนทานกว่า
Frame ของ GS 160 ได้ถูกออกแบบใหม่ หมดจดจนสมบรูณ์แบบและถือว่าเป็นการออกแบบของเวสป้าที ่ยุคใหม่ โดย ตัวถังใหม่นี้ ถูกออกแบบให้ sport มากขึ้นซึ่งมีน้ำหนักน้อยลง, เพรียวบาง และจะเห็นตะเข็บ(แนวเชื่อม )ตรงกลางของ body ซึ่งทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้น Handlebars และ ไฟท้ายได้ถูกออกแบบอย่างเยี่ยมยอด ของ VS5 และ ยังคงนำมาใช้กับGS160 ส่วนช่วงล่างนั้นโชคหน้า ได้ถูกพัฒนาใหม่โดย โดยสปริงและกระบอกน้ำมัน(dampening unit) รวมอยู่ในเป็นชิ้นเดียวกัน(ซึ่งเหมือนกับของ PX ในปัจจุบัน)
vespa never die.....
GS160 ถูกออกแบบฝากระโปรงให้อันอวบอิ่มและสามารถถอดออกได้ท ั้งสองข้างเพื่อให้สะดวกในการเก็บยางอะไหล่และดูแลแบ ตเตอรี่ รวมไปถึงเครื่องยนต์ในอีกฝั่งด้วย GS160 ยังมีกล่องเก็บเครื่องมือ อยู่ในตำแหน่งเหนือไฟท้ายใน รุ่น MK I (ซึ่งบ้านเราเรียกว่ารุ่นเกะหลัง) และอยู่ที่ด้านในบังลมหน้าในรุ่น MK II (เกะหน้า)
Vespa GS 160 มีสายการผลิต อยู่เพียง 3 ปี ซึ่งมี 2 รุ่น MK I และ MK II ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ของตัวถังดังนี้
Model :GS 160 MK 1 (round tail) ท้ายมน
ปี : 1962 (หลังจากเปิดตัว)
รายละเอียด : ท้ายมน กล่องเครื่องมือหรือเก๊ะ(Tool box)อยู่ตำแหน่งด้านบนของไฟท้าย (รุ่นเกะหลัง ต้นปี)
Model : GS 160 MK 1 (square tail) ท้ายเหลี่ยม
ปี : 1962 (ปลายปี)
รายละเอียด : ท้ายเหลี่ยม กล่องเครื่องมือหรือเกะ(Tool box)อยู่ตำแหน่งด้านบนของไฟท้าย (รุ่นเกะหลัง ปลายปี) ในบางประเทศจะมีแบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
Model : GS 160 MK 2
ปี : 1963 - 1964
รายละเอียด : ท้ายเหลี่ยม กล่องเครื่องมือหรือเกะ(Tool box)อยู่ตำแหน่งด้านในบังลมหน้า (รุ่นเกะหน้า) ในบางประเทศจะมีแบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
*** จากประสบการณ์ของผู้เรียบเรียง MKII ยังมีกุญแจล็อคคอแบบรี(เหมือนของ sprint) ในช่วงท้ายๆของสายการผลิต และรถที่ถูกส่งเมืองไทย จะเป็นสวิตช์ไฟเหลี่ยม(เหมือน 64)ไม่มีกุญแจหัว แต่ผู้เขียนก็เคยได้ยินว่ามีรถที่เป็น version ที่มีกุญแจหัวและสวิตช์ไฟแบบรี(เหมือนกับ GS150) ในจังหวัดทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่เหมื อนกันแต่ไม่ยืนยันเพราะผู้เขียนไม่ได้เห็นตัวตัวเอง
vespa never die.....
Bookmarks